วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือ



การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยเรือไปตามลำน้ำ แม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ซึ่งมีวิวัฒนาการจากแพจนกลายเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ปัจจุบันการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือได้ลดความสำคัญลง เพราะคนไม่นิยมเดินทางด้วยเรือ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางนาน แต่มีบทบาทสำคัญในการส่งสินค้าระหว่างประเทศมาก อย่างไรก็ตามการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือในปัจจุบันมักใช้เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
            การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมีความได้เปรียบ คือ ต้นทุนต่ำดำเนินงานต่ำ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราค่าโดยสารถูก สามารถขนส่งได้คราวละมากๆ ส่วนความเสียเปรียบก็คือมีความช้ามาก การบริการมีลักษณะเป็นฤดูกาล และถูกกีดขวางด้วยธรรมชาติ อีกทั้งต้องมาจากการขนส่งทางถนนก่อ
   องค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมี 4 องค์ประกอบคือ                        
   (1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือ
   (2) เรือโดยสาร
   (3) เส้นทางเดินเรือ
   (4) ท่าเรือ

 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมี 3 รูปแบบ คือ
1. การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือในตัวเมืองกรุงเทพฯ 
2. การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือระหว่างเมือง
3. การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือระหว่างประเทศ



การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ


            การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยรถไฟที่ต่อกันเป็นขบวนวิ่งไปบนรางเฉพาะตามเส้นทาง ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการขับเคลื่อนด้วยรถจักรไอน้ำ จนกระทั่งใช้เครื่องขับเคลื่อนด้วยไอพ่น จึงทำให้การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
            การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมีความได้เปรียบคือสามารถให้บริการได้ครั้งละมากๆ มีความสะดวกสบายในระหว่างการขนส่ง มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการขนส่งระยะปานกลางและไกล ส่วนความเสียเปรียบก็คือต้องลงทุนมาก มีความคล่องตัวน้อย ขนส่งระยะใกล้ ต้นทุนสูง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ หากเลิกบริการจะเสียหายมาก
            องค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมี 4 องค์ประกอบ คือ
(1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ
(2)  ขบวนรถไฟ
(3) เส้นทางรถไฟ 
(4) สถานีรถไฟ
            การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมี 2 รูปแบบ คือ
1 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟในตัวเมือง
2 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟระหว่างเมือง

การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์


            การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์หรือทางถนนเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยรถยนต์ที่วิ่งบนถนน ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการเดินเท้าและการใช้สัตว์เป็นพาหนะเดินทางไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งมีการประดิษฐ์รถยนต์โดยสารที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน พร้อมทั้งมีการพัฒนาถนนให้กว้างใหญ่ แข็งแรงและใช้ได้ทุกฤดูกาล จนทำให้การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์เจริญก้าวหน้าในปัจจุบัน
   ความได้เปรียบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์

             คือ เป็นหน่วยเล็ก สามารถขยายงานได้ง่ายการดำเนินงานไปยุ่งยาก มีความคล่องตัวสูง สามารถบริการได้ถึงประตูบ้าน มีต้นทุนระยะใกล้ต่ำ ส่วนความเสียเปรียบก็คือบรรทุกได้ครั้งละไม่มาก ต้นทุนระยะไกลสูง เกิดอุบัติเหตุง่าย เครื่องมืออุปกรณ์ล้าสมัยง่าย
   สำหรับองค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์มี 4 องค์ประกอบ คือ

(1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์
(2) รถยนต์โดยสาร
(3) เส้นทางถนน
(4) สถานีขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์
การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์นั้นมี 3 รูปแบบ คือ

1 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ในตัวเมือง
2 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ระหว่างเมือง
3 การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ระหว่างประเทศ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการขนส่งผู้โดยสารเพื่อการท่องเที่ยว



 

ความสัมพันธ์ระหว่างการขนส่งผู้โดยสารกับการท่องเที่ยว
1. การขนส่งผู้โดยสารทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไป-กลับจากแหล่งท่องเที่ยวได้
2. การขนส่งผู้โดยสารทำให้เกิดการบริการที่สะดวกสบาย ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว เช่น ที่พัก แหล่งบันเทิง
3. การขนส่งผู้โดยสารกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
4. การขนส่งผู้โดยสารเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
5. การขนส่งผู้โดยสารเป็นโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
6. การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกระตุ้นการพัฒนาการขนส่งผู้โดยสาร เช่น มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโต มีความต้องการใชับริการขนส่งมากขึ้น

ความหมายของการขนส่งผู้โดยสาร
     คือกา่รจัดให้มีการเคลื่อนย้ายบุคคล ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์การขนส่งจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ตามความประสงค์ของบุคคลนั้น ๆ

หน้าที่ของการขนส่งผู้โดยสาร
การขนส่งผู้โดยสารทำหน้าที่ผลิตบริการเพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์ในการ
เดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เกิดอรรถประโยชน์ในด้านเวลาและสถานที่

ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสาร
     การขนส่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) ที่ทำให้เกิดการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ดังนี้

ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อเศรษฐกิจของประเทศ
         - ทำให้นักธุรกิจสามารถเดินทางติดต่อค้าขายกันได้ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
         - ทำรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
         - ช่วยลดปัญหาการว่างงาน
         - ทำให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุน
        - ช่วยดุลการชำระเงินของประเทศ

     ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อสังคม
        - การขนส่งผู้โดยการช่วยขยายตัวเมือง
        - ช่วยลดการแบ่งแยกของสังคม
        - ช่วยให้มาตรฐานการศึกษาดีขึ้น
        - ช่วยให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น
        - ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
     ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อการเมืองและการทหาร
        - การขนส่งผู้โดยสารทำให้เกิดความสามัคคี
        - ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติ
        - ช่วยให้การปกครองประเทศเป็นไปด้วยดี
        - ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีขึ้น
        - ช่วยสนับสนุนป้องกันประเทศและความมั่นคงของประเทศ

ปัญหาของการขนส่งผู้โดยสาร



      ก่อให้เกิดอากาศเป็นพิษ

     ก่อให้เกิดน้ำเป็นพิษ เช่น น้ำมันรั่วไหลลงแม่น้ำ จึงต้องมีการควบคุม การป้องกันและการแก้ไข


     ก่อให้เกิดเสียงรบกวน อุปกรณ์การขนส่งอาจทำให้เกิดเสียงดังอึกทึก


      ก่อให้เกิดการจราจรติดขัด ซึ่งเกิดจากขนาดผังเมือง อุปกรณ์การขนส่ง


     ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะการขาดความระมัดระวัง ขาดความรอบรู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์


     ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุน ต้องตอบแทนบุคลากรทางด้านธุรกิจขนส่ง 

การบริการการขนส่งผู้โดยสาร
ในการขนส่งผู้โดยสารมีการตอบสนองความต้องการในการเดินทางมี 3 รูปแบบ ต่อไปนี้คือ  
1. การให้บริการขนส่งผู้โดยสารในตัวเมือง 
         หมายถึงความพยายามในการขนส่งผู้โดยสารในชุมชน ซึ่งอาจเป็นเทศบาลเมืองต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม
2. การให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมือง
         หมายถึงความพยายามในการจัดการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมือง  
ให้สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม
3. การให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ
         หมายถึงความพยายามในการขนส่งผู้โดยสารให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการขนส่งทางเครื่องบิน 90 % รองลงมาคือทางเรือ ส่วนรถยนต์และทางรถไฟน้อยที่สุด

ประเภทของการขนส่งผู้โดยสาร มี 4 ประเภท คือ


การขนส่งด้วยรถยนต์

การขนส่งด้วยรถไฟ

การขนส่งด้วยเรือ

การขนส่งด้วยเครื่องบิน
   
  ดังนั้น การขนส่งผู้โดยสารช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวอย่างสะดวก เกิดการลงทุนทางด้านการท่องเที่ยว ช่วยสร้างรายได้ในท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับกระบวนการขนส่ง

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เส้นทางสายไหม, Silk Road

 

 เส้นทางสายไหม,ร่องรอยการค้าบนเส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม,ร่องรอยการค้าบนเส้นทางสายไหม

          เส้นทางสายไหม ( Silk Road ) เป็นเส้นทางโบราณที่ใช้เดินทางคมนาคมขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจีนกับทวีปยุโรป เส้นทางสายไหม เกิดขึ้นมาร่วมหลายพันปีแล้ว เป็นเส้นทางการค้าที่มีโครงข่ายโยงใยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ.220) ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ แต่เราอาจเพิ่งมาคุ้นหูมากขึ้นเมื่อ 25 ปีก่อน ตอนที่ทางสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นที่ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางตามแนวเส้นทางสายไหมในสมัยโบราณ ทำให้เราได้รู้จักความเป็นไปเป็นมาของเส้นทางสายไหมมากขึ้น เส้นทางสายไหมเป็นช่องทางสำคัญที่กระจายอารยธรรมโบราณของจีนไปสู่ตะวันตก และเป็นสะพานเชื่อมในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับตะวันตกด้วย เส้นทางสายนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาวเอเซียเป็นอย่างมาก
คำว่าเส้นทางสายไหม ( Silk Road ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
          คำว่า "เส้นทางสายไหม" หรือ "Silk Road" เพิ่งถูกเรียกอย่างเป็นทางการในกลางศตวรรษที่ 19 โดยนักปราชญ์ชาวเยอรมัน ชื่อว่า Baron Ferdinand von Richthofen เขาเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะมีคนพยายามเรียกเป็นอย่างอื่น อย่างเส้นทางหยก เส้นทางอัญมณี เส้นทางพุทธศาสนา เป็นต้น  เส้นทางนี้ เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้นสุดที่ยุโรป ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ผ้าไหมจีน, แก้ว, เพชรพลอย, เครื่องเคลือบดินเผา, พรม เป็นต้น แต่เส้นทางนี้ก็ได้ถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม

เส้นทางสายไหม, แผนที่เส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม, แผนที่เส้นทางสายไหม

          เส้นทางสายไหมที่ผู้คนกล่าวถึงบ่อย ๆ นั้น หมายถึง เส้นทางบกที่จางเชียนในสมัยซีฮั่นของจีนสร้างขึ้น เส้นทางนี้เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้นสุดที่ทางทิศตะวันตกของกรุงโรม ระยะทางทั้งหมดถึง 7,000 กิโลเมตร และ เส้นทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ในจำนวนดังกล่าวนั้นอยู่ในดินแดนของประเทศจีน ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าเส้นทางสายไหม เส้นทางหลัก ๆ นั้นจะอยู่ในประเทศจีน
         เส้นทางบกสายนี้มีเส้นทางแยกสาขาเป็นสองสายไปทางทิศใต้และทางทิศเหนือของจีนและจากเมืองหลักของแต่ละเส้นทางจะมีเส้นทางแยกย่อยออกไปเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งมีการแปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง, วัฒนธรรมในแต่ละยุค
เส้นทางทิศใต้จากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกทางด่านหยางกวนผ่านภูเขาคุนหลุนและเทือกเขาชงหลิ่นไปถึงต้าเย่ซื่อ ( แถวซินเจียงและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน ) อันซิ ( อิหร่านในปัจจุบัน ) เถียวซื่อ ( คาบสมุทรอาหรับปัจจุบัน) ซี่งอยู่ทางตะวันตก ไปถึงอาณาจักรโรมัน
         ส่วนเส้นทางทิศเหนือจากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกด่านอวี้เหมินกวน ผ่านเทือกเขาด้านใต้ของภูเขาเทียนซานและเทือกเขาชงหลิ่น ผ่านต้าหว่าน คางจวี ( อยู่ในเขตเอเซียกลางของรัสเซีย ) แล้วไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ สุดท้ายรวมกันกับเส้นทางทิศใต้ เส้นทางสองสายนี้เรียกว่า“เส้นทางสายไหมทางบก”
         นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางสายไหมอีกสองสายซึ่งน้อยคนจะทราบ สายหนึ่ง คือ “เส้นทางสายไหมทิศตะวันตกเฉียงใต้” เริ่มจากมณฑลเสฉวนผ่านมณฑลยูนนานและแม่น้ำอิรวดีจนถึงจังหวัดหม่องกงในภาคเหนือของพม่า ผ่านแม่น้ำชินด์วินไปถึงมอพาร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย จากนั้น เลียบแม่น้ำคงคาไปถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียไปถึงที่ราบสูงอิหร่าน เส้นทางสายไหม สายนี้มีประวัติยาวนานกว่าเส้นทางสายไหมทางบก เมื่อปี1986 นักโบราณคดีได้พบซากอารยธรรมซานซิงตุยที่เมืองกว่างฮั่น มณฑลเสฉวน ซึ่งห่างจากปัจจุบันประมาณสามพันกว่าปี ได้ขุดพบโบราณวัตถุจำนวนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเอเซียตะวันตกและกรีซ ในจำนวนนั้นมีไม้เท้าทองที่ยาว 142เซ็นติเมตร “ต้นไม้วิเศษ” ที่สูงประมาณสี่เมตรและรูปปั้นคนทองแดง หัวทองแดงและหน้ากากทองแดงเป็นต้นที่มีทั้งขนาดใหญ่และเล็กต่าง ๆ กัน ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าวัตถุโบราณเหล่านี้อาจจะถูกนำเข้ามาในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ถ้าความคิดเห็นประการนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง เส้นทางสายไหม สายนี้ก็มีอยู่แล้วตั้งแต่กว่าสามพันปีก่อน 
         เส้นทางสายไหม อีกสายหนึ่ง คือ นั่งเรือจากนครกวางเจาผ่านช่องแคบหม่านล่าเจีย ( ช่องแคบมะละกาในปัจจุบัน ) ไปถึงลังกา ( ศรีลังกาในปัจจุบัน ) อินเดียและอัฟริกาตะวันออก เส้นทางนี้ได้ชื่อว่า “เส้นทางสายไหม ทางทะเล” วัตถุโบราณจากโซมาลีที่อัฟริกาตะวันออกยืนยันว่า “เส้นทางสายไหม ทางทะเล” สายนี้ปรากฎขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน
         เส้นทางสายไหม ทางทะเล ได้เชื่อมจีนกับประเทศอารยธรรมที่สำคัญและแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมของโลก ได้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในเขตเหล่านี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เส้นทางแลกเปลี่ยนระหว่างตะวันออกกับตะวันตก” เอกสารด้านประวัติศาสตร์ระบุว่า สมัยนั้นมาร์โคโปโลก็ได้เดินทางมาถึงจีนโดยผ่าน “เส้นทางสายไหมทางทะเล” ตอนกลับประเทศ เขาได้ลงเรือที่เมืองเฉวียนโจวของมณฑลฮกเกี้ยนของจีนกลับถึงเวนิส ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาโดยผ่านเส้นทางสายนี้เหมือนกัน
         การเปิดใช้เส้นทางสายไหมไม่เพียงแต่ทำให้เขตซินเจียงที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีทางเชื่อมติดต่อกับเขตแดนชั้นในของจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกทางหนึ่ง ในการกระชับความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างเขตแดนชั้นในของจีนกับซินเจียง โดยเฉพาะกับเอเซียกลางและเอเซียตะวันตกด้วย ดังนั้น จึงมีการค้นพบโบราณวัตถุมีคุณค่าจำนวนมากปรากฏตามเส้นทางสายไหมนี้ เช่น เมืองโบราณ สุสานในสมัยโบราณ กำแพงเมืองจีนเก่าแก่ วัดวาอารามและถ้ำผา เป็นต้น ดังนั้นเส้นทางสายไหมจึงได้แสดงบทบาทอันสำคัญยิ่งในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับต่างประเทศ เส้นทางสายไหมจึงเป็นแหล่งขุมทรัพย์ความรู้ทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนในยุคหลัง
ปัจจุบันเส้นทางสายไหมแห่งนี้ นอกจากจะเป็นแหล่งความรู้ทางโบราณคดีและมนุษยวิทยาแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจีนอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเส้นทางสายไหม


ประวัติความเป็นมาของเส้นทางสายไหม
          เส้นทางสายไหม เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ ในสมัยนั้นอาณาจักรฮั่นถูกพวกชนเผ่าเร่ร่อนที่มีชื่อว่า "ซงนู๋" รุกรานอยู่บ่อย ๆ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้จึงส่งขุนนางผู้มีชื่อว่า "จางเชียน" ไปเจริญสัมพันธ์กับแคว้นต่าง ๆ ทางตะวันตกเพื่อชักชวนให้แคว้นเหล่านั้นหันมาเป็นพันธมิตรต่อต้านการรุกรานของพวกซงนู๋ด้วยกัน แต่ระหว่างเดินทางนั้นจางเชียน ถูกพวกซงนู๋จับตัวและถูกกักขังไว้เป็นเวลาร่วมสิบปี แต่สุดท้ายจางเชียนก็สามารถหลบหนีออกมาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ลืมภาระที่ได้รับมอบหมายและมุ่งหน้าสู่เอเชียกลาง แต่ขณะนั้นบรรดาแคว้นต่างๆ ล้วนพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ไม่มีใครยอมร่วมเป็นพันธมิตร เท่ากับว่าจางเชียนคว้าน้ำเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจที่ได้รับมอบหมายแต่เขาก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จางเชียนจดบันทึกข้อมูลทั้งหลายตลอดเส้นทางเกี่ยวกับทางภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต การค้าการขายต่าง ๆ ถวายแด่ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ เพื่อแปลงสนามรบเป็นสนามการค้า

         หลังจากนั้นอาณาจักรฮั่นก็ส่งสินค้าไปค้าขายกับทางตะวันตก สินค้าที่ขึ้นชื่อในยุคนั้น คือ ผ้าไหม ซึ่งเป็นที่ชื่น ชอบของพวกชาวเปอร์เซียและโรมัน แต่การค้าผ้าไหมในยุคของฮั่นอู่ตี้ก็ไม่ได้ทำกำไรอะไรมากมายนัก จนเมื่อพวกชาวโรมันเกิดพิสมัยผ้าไหมอย่างมาก ( สังเกตได้จากรูปปั้นผู้หญิงของโรมันจะนุ่งผ้าไหมที่พลิ้วสวย ) ถึงกับนำเอาทองคำมาแลกกับผ้าไหมเลยทีเดียว ดังนั้น ในเวลาต่อมาการค้าบนเส้นทางสายไหมนี้จึงประกอบด้วย ผ้าไหมถึง 30 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว
         เส้นทางสายไหมโบราณเส้นนี้รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด ในกลางศตวรรษที่ 8 แห่งคริสตกาล เส้นทางนี้เปรียบเสมือน ทางด่วนข้อมูลสารสนเทศในยุคนั้นเลยทีเดียว การแลกเปลี่ยนข่าวสาร วัฒนธรรม รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีในการผลิตกระดาษ, ดินระเบิด, เข็มทิศ รวมถึงลูกคิดซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีของจีนที่ถูกถ่ายทอดไปสู่ตะวันตก ในยุคนั้นผ่านทาง เส้นทางสายไหมขณะเดียวกันศาสนาพุทธจากอินเดียก็อาศัยเส้นทางสายไหมนี้เขาสู่เอเชีย ทั้งจีน เกาหลี พม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา และไทย เช่นเดียวกัน ชาวเปอร์เซียที่นำเอาศาสนาอิสลามเข้ามา
         ตอนหลังเส้นทางทางบกถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม เหล่าคาราวานจึงพยายามเลี่ยงเส้นทางนี้ เส้นทางทางบกจึงถึงจุดเสื่อมสลายในที่สุด เส้นทางการค้าทางทะเลกลับเพิ่มมากขึ้นแทน ชาวเปอร์เซียซึ่งมาทางเรือก็นำเอาศาสนาอิสลามสู่ประเทศต่าง ๆ ที่แวะผ่าน เช่น แหลมมาลายู อินโดนีเซียและบางส่วนของฟิลิปินส์

เส้นทางสายไหม, เส้นทางการค้าเส้นทางสายไหม
              
 เส้นทางสายไหม, เส้นทางการค้าเส้นทางสายไหม



เส้นทางสายไหม, คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม
                                                                                  
เส้นทางสายไหม,  คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม, คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม
                                       
                         เส้นทางสายไหม,คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม                                          
                       
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม


                เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม


    เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม

      เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เมืองโบราณมรดกโลก

  เมืองโบราณมรดกโลกบนเส้นทางสายไหม
หออู่เฟิ่ง สถาปัตยกรรมของจีนสมัยโบราณ

  หออู่เฟิ่งสถาปัตยกรรมโบราณของจีน


 อ้างอิงมาจาก
- http://www.tourtooktee.com/info_topic.asp?nID=994

ประวัตมาร์โคโปโล (Marco Polo)







          มาร์โคโปโลเป็นลูกพ่อค้าชาวเมืองเวนิส และได้ออกเดินทางทางบกไปถึงประเทศจีนกับบิดา และลุงของเขา เมื่อ ค.ศ. 1271 ซึ่งเป็นการเดินทางผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ในประวัติการค้นคว้าสำรวจครั้งหนึ่ง ในสมัยนั้นบิดาและลุงของมาร์โคโปโลได้เข้าไปอยู่ในประเทศจีนในฐานะพ่อค้า เมื่อกลับมาถึงเวนิสและจะออกเดินทางไปอีกได้นำเอามาร์โคโปโลลูกชายอายุ 17 ปีไปด้วย พร้อมกับหนังสือของพระสังฆราชไปยังพระเจ้ากุบไลข่าน จักรพรรดิแห่งประเทศจีน ตลอดระยะทาง มาร์โคโปโลได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้พบเห็นไว้หมดสิ้น เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับนครแบกแดด ศูนย์การค้าของพวกอาหรับ การเดินทางข้ามเทือกเขาฮินดูกูส และทะเลทรายเป็นต้น การเดินทางครั้งนั้นกินเวลา 3 ปี จึงไปถึงราชสำนักของพระเจ้ากุบไลข่าน ในประเทศจีน มาร์โคโปโลได้พบว่าเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เขาได้เห็นชาวเมืองใช้กระดาษแทนเงินตรา ใช้ถ่านหินก่อไฟผิง หุงต้มและใช้ในกิจการอื่น ๆ ตลอดจนได้พบเห็นการแกะตัวพิมพ์ด้วยไม้ และการพิมพ์ตัวหนังสือลงบนกระดาษ ฯลฯ อันเป็นความรู้ใหม่ของชาวยุโรป เช่น มาร์โคโปโล สมัยนั้น เมื่อไปอยู่ในราชสำนักนาน ๆ ไม่ช้า มาร์โคโปโลก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าข่าน เขาได้ถูกส่งให้ไปดูแลบ้านเมืองต่าง ๆ ของประเทศจีน และออกไปยังดินแดนของพม่า ธิเบต ขึ้นไปทางเหนือถึงดินแดนไซบีเรีย ได้เห็นสุนัขลากเลื่อน หมีขาว และชาวพื้นเมืองซึ่งนั่งบนเลื่อนน้ำแข็ง มีกวางเรนเดียร์ลากไปมา การเดินทางท่องเที่ยวของมาร์โคโปโลไปยังที่ต่าง ๆ โดยอาศัยความคุ้มครองของจักรพรรดิข่าน ทำให้เขาได้ทราบเรื่องราวของอาเซียตะวันออกได้ดียิ่งกว่าชาวพื้นเมืองเสียอีก ทางประวัติศาสตร์จึงยกย่องว่า มาร์โคโปโลเป็นนักสำรวจค้นคว้าคนสำคัญคนหนึ่ง
อ้างอิงมาจาก
-http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81_%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%82%E0%B8%A5
-http://nu20003.9.forumer.com/a/_post729.html