วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เส้นทางสายไหม, Silk Road

 

 เส้นทางสายไหม,ร่องรอยการค้าบนเส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม,ร่องรอยการค้าบนเส้นทางสายไหม

          เส้นทางสายไหม ( Silk Road ) เป็นเส้นทางโบราณที่ใช้เดินทางคมนาคมขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจีนกับทวีปยุโรป เส้นทางสายไหม เกิดขึ้นมาร่วมหลายพันปีแล้ว เป็นเส้นทางการค้าที่มีโครงข่ายโยงใยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ.220) ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ แต่เราอาจเพิ่งมาคุ้นหูมากขึ้นเมื่อ 25 ปีก่อน ตอนที่ทางสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นที่ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางตามแนวเส้นทางสายไหมในสมัยโบราณ ทำให้เราได้รู้จักความเป็นไปเป็นมาของเส้นทางสายไหมมากขึ้น เส้นทางสายไหมเป็นช่องทางสำคัญที่กระจายอารยธรรมโบราณของจีนไปสู่ตะวันตก และเป็นสะพานเชื่อมในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับตะวันตกด้วย เส้นทางสายนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาวเอเซียเป็นอย่างมาก
คำว่าเส้นทางสายไหม ( Silk Road ) เกิดขึ้นได้อย่างไร
          คำว่า "เส้นทางสายไหม" หรือ "Silk Road" เพิ่งถูกเรียกอย่างเป็นทางการในกลางศตวรรษที่ 19 โดยนักปราชญ์ชาวเยอรมัน ชื่อว่า Baron Ferdinand von Richthofen เขาเป็นผู้บัญญัติชื่อนี้ขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะมีคนพยายามเรียกเป็นอย่างอื่น อย่างเส้นทางหยก เส้นทางอัญมณี เส้นทางพุทธศาสนา เป็นต้น  เส้นทางนี้ เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้นสุดที่ยุโรป ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ผ้าไหมจีน, แก้ว, เพชรพลอย, เครื่องเคลือบดินเผา, พรม เป็นต้น แต่เส้นทางนี้ก็ได้ถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม

เส้นทางสายไหม, แผนที่เส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม, แผนที่เส้นทางสายไหม

          เส้นทางสายไหมที่ผู้คนกล่าวถึงบ่อย ๆ นั้น หมายถึง เส้นทางบกที่จางเชียนในสมัยซีฮั่นของจีนสร้างขึ้น เส้นทางนี้เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีนไปสิ้นสุดที่ทางทิศตะวันตกของกรุงโรม ระยะทางทั้งหมดถึง 7,000 กิโลเมตร และ เส้นทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ในจำนวนดังกล่าวนั้นอยู่ในดินแดนของประเทศจีน ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าเส้นทางสายไหม เส้นทางหลัก ๆ นั้นจะอยู่ในประเทศจีน
         เส้นทางบกสายนี้มีเส้นทางแยกสาขาเป็นสองสายไปทางทิศใต้และทางทิศเหนือของจีนและจากเมืองหลักของแต่ละเส้นทางจะมีเส้นทางแยกย่อยออกไปเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งมีการแปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง, วัฒนธรรมในแต่ละยุค
เส้นทางทิศใต้จากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกทางด่านหยางกวนผ่านภูเขาคุนหลุนและเทือกเขาชงหลิ่นไปถึงต้าเย่ซื่อ ( แถวซินเจียงและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถานในปัจจุบัน ) อันซิ ( อิหร่านในปัจจุบัน ) เถียวซื่อ ( คาบสมุทรอาหรับปัจจุบัน) ซี่งอยู่ทางตะวันตก ไปถึงอาณาจักรโรมัน
         ส่วนเส้นทางทิศเหนือจากเมืองตุนหวงไปสู่ทางตะวันตกโดยออกด่านอวี้เหมินกวน ผ่านเทือกเขาด้านใต้ของภูเขาเทียนซานและเทือกเขาชงหลิ่น ผ่านต้าหว่าน คางจวี ( อยู่ในเขตเอเซียกลางของรัสเซีย ) แล้วไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ สุดท้ายรวมกันกับเส้นทางทิศใต้ เส้นทางสองสายนี้เรียกว่า“เส้นทางสายไหมทางบก”
         นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางสายไหมอีกสองสายซึ่งน้อยคนจะทราบ สายหนึ่ง คือ “เส้นทางสายไหมทิศตะวันตกเฉียงใต้” เริ่มจากมณฑลเสฉวนผ่านมณฑลยูนนานและแม่น้ำอิรวดีจนถึงจังหวัดหม่องกงในภาคเหนือของพม่า ผ่านแม่น้ำชินด์วินไปถึงมอพาร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย จากนั้น เลียบแม่น้ำคงคาไปถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียไปถึงที่ราบสูงอิหร่าน เส้นทางสายไหม สายนี้มีประวัติยาวนานกว่าเส้นทางสายไหมทางบก เมื่อปี1986 นักโบราณคดีได้พบซากอารยธรรมซานซิงตุยที่เมืองกว่างฮั่น มณฑลเสฉวน ซึ่งห่างจากปัจจุบันประมาณสามพันกว่าปี ได้ขุดพบโบราณวัตถุจำนวนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเอเซียตะวันตกและกรีซ ในจำนวนนั้นมีไม้เท้าทองที่ยาว 142เซ็นติเมตร “ต้นไม้วิเศษ” ที่สูงประมาณสี่เมตรและรูปปั้นคนทองแดง หัวทองแดงและหน้ากากทองแดงเป็นต้นที่มีทั้งขนาดใหญ่และเล็กต่าง ๆ กัน ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าวัตถุโบราณเหล่านี้อาจจะถูกนำเข้ามาในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ถ้าความคิดเห็นประการนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง เส้นทางสายไหม สายนี้ก็มีอยู่แล้วตั้งแต่กว่าสามพันปีก่อน 
         เส้นทางสายไหม อีกสายหนึ่ง คือ นั่งเรือจากนครกวางเจาผ่านช่องแคบหม่านล่าเจีย ( ช่องแคบมะละกาในปัจจุบัน ) ไปถึงลังกา ( ศรีลังกาในปัจจุบัน ) อินเดียและอัฟริกาตะวันออก เส้นทางนี้ได้ชื่อว่า “เส้นทางสายไหม ทางทะเล” วัตถุโบราณจากโซมาลีที่อัฟริกาตะวันออกยืนยันว่า “เส้นทางสายไหม ทางทะเล” สายนี้ปรากฎขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน
         เส้นทางสายไหม ทางทะเล ได้เชื่อมจีนกับประเทศอารยธรรมที่สำคัญและแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมของโลก ได้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในเขตเหล่านี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เส้นทางแลกเปลี่ยนระหว่างตะวันออกกับตะวันตก” เอกสารด้านประวัติศาสตร์ระบุว่า สมัยนั้นมาร์โคโปโลก็ได้เดินทางมาถึงจีนโดยผ่าน “เส้นทางสายไหมทางทะเล” ตอนกลับประเทศ เขาได้ลงเรือที่เมืองเฉวียนโจวของมณฑลฮกเกี้ยนของจีนกลับถึงเวนิส ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาโดยผ่านเส้นทางสายนี้เหมือนกัน
         การเปิดใช้เส้นทางสายไหมไม่เพียงแต่ทำให้เขตซินเจียงที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล มีทางเชื่อมติดต่อกับเขตแดนชั้นในของจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกทางหนึ่ง ในการกระชับความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างเขตแดนชั้นในของจีนกับซินเจียง โดยเฉพาะกับเอเซียกลางและเอเซียตะวันตกด้วย ดังนั้น จึงมีการค้นพบโบราณวัตถุมีคุณค่าจำนวนมากปรากฏตามเส้นทางสายไหมนี้ เช่น เมืองโบราณ สุสานในสมัยโบราณ กำแพงเมืองจีนเก่าแก่ วัดวาอารามและถ้ำผา เป็นต้น ดังนั้นเส้นทางสายไหมจึงได้แสดงบทบาทอันสำคัญยิ่งในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับต่างประเทศ เส้นทางสายไหมจึงเป็นแหล่งขุมทรัพย์ความรู้ทางโบราณคดีที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนในยุคหลัง
ปัจจุบันเส้นทางสายไหมแห่งนี้ นอกจากจะเป็นแหล่งความรู้ทางโบราณคดีและมนุษยวิทยาแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจีนอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเส้นทางสายไหม


ประวัติความเป็นมาของเส้นทางสายไหม
          เส้นทางสายไหม เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น ในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ ในสมัยนั้นอาณาจักรฮั่นถูกพวกชนเผ่าเร่ร่อนที่มีชื่อว่า "ซงนู๋" รุกรานอยู่บ่อย ๆ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้จึงส่งขุนนางผู้มีชื่อว่า "จางเชียน" ไปเจริญสัมพันธ์กับแคว้นต่าง ๆ ทางตะวันตกเพื่อชักชวนให้แคว้นเหล่านั้นหันมาเป็นพันธมิตรต่อต้านการรุกรานของพวกซงนู๋ด้วยกัน แต่ระหว่างเดินทางนั้นจางเชียน ถูกพวกซงนู๋จับตัวและถูกกักขังไว้เป็นเวลาร่วมสิบปี แต่สุดท้ายจางเชียนก็สามารถหลบหนีออกมาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ลืมภาระที่ได้รับมอบหมายและมุ่งหน้าสู่เอเชียกลาง แต่ขณะนั้นบรรดาแคว้นต่างๆ ล้วนพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ไม่มีใครยอมร่วมเป็นพันธมิตร เท่ากับว่าจางเชียนคว้าน้ำเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจที่ได้รับมอบหมายแต่เขาก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส จางเชียนจดบันทึกข้อมูลทั้งหลายตลอดเส้นทางเกี่ยวกับทางภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต การค้าการขายต่าง ๆ ถวายแด่ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ เพื่อแปลงสนามรบเป็นสนามการค้า

         หลังจากนั้นอาณาจักรฮั่นก็ส่งสินค้าไปค้าขายกับทางตะวันตก สินค้าที่ขึ้นชื่อในยุคนั้น คือ ผ้าไหม ซึ่งเป็นที่ชื่น ชอบของพวกชาวเปอร์เซียและโรมัน แต่การค้าผ้าไหมในยุคของฮั่นอู่ตี้ก็ไม่ได้ทำกำไรอะไรมากมายนัก จนเมื่อพวกชาวโรมันเกิดพิสมัยผ้าไหมอย่างมาก ( สังเกตได้จากรูปปั้นผู้หญิงของโรมันจะนุ่งผ้าไหมที่พลิ้วสวย ) ถึงกับนำเอาทองคำมาแลกกับผ้าไหมเลยทีเดียว ดังนั้น ในเวลาต่อมาการค้าบนเส้นทางสายไหมนี้จึงประกอบด้วย ผ้าไหมถึง 30 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว
         เส้นทางสายไหมโบราณเส้นนี้รุ่งเรืองถึงจุดสูงสุด ในกลางศตวรรษที่ 8 แห่งคริสตกาล เส้นทางนี้เปรียบเสมือน ทางด่วนข้อมูลสารสนเทศในยุคนั้นเลยทีเดียว การแลกเปลี่ยนข่าวสาร วัฒนธรรม รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีในการผลิตกระดาษ, ดินระเบิด, เข็มทิศ รวมถึงลูกคิดซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีของจีนที่ถูกถ่ายทอดไปสู่ตะวันตก ในยุคนั้นผ่านทาง เส้นทางสายไหมขณะเดียวกันศาสนาพุทธจากอินเดียก็อาศัยเส้นทางสายไหมนี้เขาสู่เอเชีย ทั้งจีน เกาหลี พม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา และไทย เช่นเดียวกัน ชาวเปอร์เซียที่นำเอาศาสนาอิสลามเข้ามา
         ตอนหลังเส้นทางทางบกถูกเลิกใช้ไปเพราะเกิดสงคราม เหล่าคาราวานจึงพยายามเลี่ยงเส้นทางนี้ เส้นทางทางบกจึงถึงจุดเสื่อมสลายในที่สุด เส้นทางการค้าทางทะเลกลับเพิ่มมากขึ้นแทน ชาวเปอร์เซียซึ่งมาทางเรือก็นำเอาศาสนาอิสลามสู่ประเทศต่าง ๆ ที่แวะผ่าน เช่น แหลมมาลายู อินโดนีเซียและบางส่วนของฟิลิปินส์

เส้นทางสายไหม, เส้นทางการค้าเส้นทางสายไหม
              
 เส้นทางสายไหม, เส้นทางการค้าเส้นทางสายไหม



เส้นทางสายไหม, คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม
                                                                                  
เส้นทางสายไหม,  คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม

เส้นทางสายไหม, คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม
                                       
                         เส้นทางสายไหม,คาราวานสินค้าเส้นทางสายไหม                                          
                       
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม


                เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม


    เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เส้นทางสายไหม, ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม

      เส้นทางสายไหม,ร่องรอยอารยธรรมเส้นทางสายไหม
เมืองโบราณมรดกโลก

  เมืองโบราณมรดกโลกบนเส้นทางสายไหม
หออู่เฟิ่ง สถาปัตยกรรมของจีนสมัยโบราณ

  หออู่เฟิ่งสถาปัตยกรรมโบราณของจีน


 อ้างอิงมาจาก
- http://www.tourtooktee.com/info_topic.asp?nID=994

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น